MJF vs FDM: เลือกพิมพ์งาน 3D Print แบบไหนดี ?
เทคโนโลยี Multi Jet Fusion (MJF) และ Fused Deposition Modeling (FDM) เป็นเทคโนโลยี 3D Printer สองแบบที่สามารถผลิตชิ้นงานได้หลายรูปแบบ ตั้งแต่การผลิตงานโมเดล งานศิลปะ จนถึงชิ้นส่วนที่ใช้งานจริงในอุตสาหกรรม โดยทีมงาน X3D Invent ได้สรุปข้อแตกต่างของเทคโนโลยีทั้งสองแบบในตารางด้านล่าง
Helyx Drone Body 3D printed by MJF Nylon PA12
Technology | FDM | MJF |
ชนิดวัสดุ | เส้นพลาสติก | ผงพลาสติก |
วัสดุที่พิมพ์ได้ | Nylon 6, ABS, PLA | Nylon 12 |
ความซับซ้อนชิ้นงาน | ปานกลาง | สูงสุด |
ความแข็งแรงชิ้นงาน | ปานกลาง | สูงสุด |
ความเร็วในการพิมพ์ | ต่ำ | สูงสุด (> 1,000 ชิ้นต่อวัน)* |
ความแม่นยำ** | +/- 0.3 mm | +/- 0.3 mm |
ขนาดชิ้นงานใหญ่สุด | 330 x 270 x 200 mm | 380 x 284 x 380 mm |
ผิวชิ้นงาน | ผิวเป็นเส้นตามชั้น Layer | ผิวเม็ดทรายละเอียด |
เหมาะสำหรับ | ชิ้นงานต้นแบบ | การใช้งานจริง |
*สำหรับชิ้นงานขนาดไม่เกิน 10 cc
**ค่าความแม่นยำเฉลี่ยสำหรับชิ้นงานขนาดไม่เกิน 100 mm
1. Multi Jet Fusion (MJF)
Wheel Motor 3D printed by MJF Nylon PA12
MJF เป็นเทคโนโลยี 3D Printer ชนิดใหม่ ขึ้นรูปงานด้วยวัสดุผงพลาสติก ตอบโจทย์การใช้งานหลายประเภท มีความแม่นยำและคุณสมบัติเชิงวิศวกรรมที่ดีที่สุด สามารถสร้างชิ้นงานที่มีความซับซ้อนสูง ไม่ต้องใช้ Support ในการพิมพ์ ชิ้นงานมีความแข็งแรงเท่ากันทุกแนวแกน ยืดหยุ่นเล็กน้อย ทนความร้อนและสารเคมีได้ดี เหมาะสำหรับทำชิ้นงานต้นแบบ ชิ้นส่วนยานยนต์ ชิ้นส่วนผลิตจำนวนน้อย เคสอุปกรณ์ ชิ้นส่วนอะไหล่
ชิ้นงานที่พิมพ์ด้วยเทคโนโลยี MJF เหมาะสำหรับการนำไปใช้งานจริง ทดแทนชิ้นส่วน CNC หรืองานฉีดพลาสติก สามารถทนแรงดันอากาศและกันน้ำได้ แต่มีข้อจำกัดคือมีวัสดุให้เลือกใช้แบบเดียวคือ Nylon 12 และผิวงานเป็นลักษณะเม็ดทรายละเอียด (สามารถนำไปขัดผิวหรือกลึงได้)
2. Fused Deposition Modeling (FDM)
CMM Inspection Fixture 3D printed by FDM Nylon PA6 CF
FDM เป็นเทคโนโลยี 3D Printer ที่ขึ้นรูปชิ้นงานจากวัสดุเส้นพลาสติกเช่น ABS และ PLA มีจุดเด่นที่ชนิดของวัสดุมีให้เลือกหลายชนิดเช่นพลาสติกสีใส วัสดุยางนิ่ม วัสดุป้องกันไฟฟ้าสถิต สามารถส่งมอบงานได้เร็วกรณีงานมีขนาดเล็กและจำนวนน้อย เหมาะสำหรับผลิตชิ้นงานต้นแบบผลิตภัณฑ์ ชิ้นส่วน Jigs & Fixtures หรือโมเดลสถาปัตยกรรม แต่พิมพ์งานได้ช้าเทียบกับ MJF จึงไม่เหมาะกับการผลิตจำนวนมาก